ศิลปะการต่อสู้พื้นบ้านของหูหนานอันเป็นเอกลักษณ์

ศิลปะการต่อสู้พื้นบ้านของหูหนานอันเป็นเอกลักษณ์ 2019-12-17 สำนักข่าวแห่งประเทศจีน

图片默认标题_fororder_hunan1

ระหว่างวันที่ 14 -16 ธันวาคม อำเภอตงอัน เมืองหย่งโจว มณฑลหูหนาน จัดสัปดาห์วัฒนธรรมการท่องเที่ยวศิลปะการต่อสู้ ครั้งที่ 4 โดยมีนักวูซูที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีหลายพันคน นำทักษะที่ไม่เหมือนใครมาโชว์ในงาน

图片默认标题_fororder_hunan2

วันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ.1992 คณะกรรมการกีฬาแห่งชาติจีนได้ขนานนามอำเภอตงอันว่าเป็น “หมู่บ้านแห่งศิลปะการต่อสู้” จากการที่มีประเพณีฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในท้องถิ่น

图片默认标题_fororder_hunan3
图片默认标题_fororder_hunan4

สำรวจพบอาหารจีน แพทย์แผนจีน ศิลปะการต่อสู้ สุดยอดตัวแทนวัฒนธรรมจีน

ปักกิ่ง, 18 ต.ค. (ซินหัว) — การสำรวจระดับโลกว่าด้วยภาพลักษณ์ของจีน (China National Image Global Survey) ปี 2018 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (18 ต.ค.) พบชาวต่างชาติคิดว่าอาหารจีน แพทย์แผนจีน  และศิลปะการต่อสู้ เป็นสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมจีนได้ดีที่สุด

ผู้ตอบแบบสอบถามชาวต่าวชาติร้อยละ 55 เลือกอาหารจีนให้เป็นตัวแทนวัฒนธรรมจีน โดยเกือบร้อยละ 79 ระบุว่าพวกเขาเคยรับประทานอาหารจีน และร้อยละ 81 ระบุว่าอาหารจีนมีรสชาติดี

แพทย์แผนจีนและศิลปะการต่อสู้เป็นสิ่งสำคัญที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมจีนเช่นเดียวกัน โดยได้รับการลงคะแนนจากผู้ตอบแบบสอบชาวต่างชาติร้อยละ 50 และร้อยละ 46 ตามลำดับ

ผลสำรวจชี้ว่าคนจำนวนมากในประเทศพัฒนาแล้วคิดว่าอาหารจีนเป็นสิ่งที่นำเสนอวัฒนธรรมจีนได้ดีที่สุด ขณะที่คนในประเทศกำลังพัฒนาเลือกแพทย์แผนจีนและศิลปะการต่อสู้

เมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ผู้ที่มีอายุระหว่าง 51-65 ปี มักคิดว่าขงจื่อและลัทธิขงจื่อเป็นสิ่งที่นำเสนอวัฒนธรรมจีนได้ดีที่สุด

อนึ่ง การสำรวจครั้งนี้จัดทำโดยสถาบันจีนร่วมสมัยและโลกคดีศึกษา (ACCWS) ร่วมกับกันตาร์ (Kantar) ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2018 โดยสอบถามความคิดเห็นจากผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 11,000 คน อายุตั้งแต่ 18-65 ปี ใน 22 ประเทศ ประเทศละ 500 คน

ทรงพลังลีลากังฟู จากเด็กหนุ่ม 10,000 คน เปิดเทศกาลศิลปะการต่อสู้ ฉลองจีน 70 ปี

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทรงพลังลีลากังฟู จากเด็กหนุ่ม 10,000 คน เปิดเทศกาลศิลปะการต่อสู้ ฉลองจีน 70 ปี

ชมภาพความอลังการของการแสดงศิลปะการต่อสู้ “กังฟู” ของเด็กหนุ่มกว่า 10,000 คน ในพิธีเปิดเทศกาลศิลปะการต่อสู้ ทั้งยังมีการแปรแถวอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 70ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย โดยการแสดงดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา บริเวณจุดชมวิววัดเส้าหลิน บนภูเขาซง มณทลเหอหนาน ประเทศจีน

“มวยปาจี๋” ศิลปะการต่อสู้ของจีน

ที่ต่างประเทศ เมื่อกล่าวถึงอู่ซู่ ศิลปะการต่อสู้ของจีน ผู้คนก็จะนึกถึงหลี่ เสี่ยวหลง (Bruce Lee ) เฉิง หลง (Jackie Chan) และหลี่ เหลียนเจี๋ย (Jet Li) ดารากังฟูชื่อก้องโลก หลายๆ คนมักจะรู้จักศิลปะการต่อสู้ของจีนจากภาพยนตร์กังฟู และประทับใจใน “กำลังภายใน” “วิชาตัวเบา” และ “โฝซานอู๋อิ่งเจี่ยว” (ศิลปะการต่อสู้ด้วยเท้า) ที่น่าอัศจรรย์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ศิลปะการต่อสู้ของจีนที่แท้จริงไม่ได้เป็นอย่างที่แสดงในภาพยนตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าโชคดีที่ได้มีโอกาสไปเรียนรู้มวยปาจี๋ หรือมวยแปดปรมัตถ์ ศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งของจีน

ประวัติยาวนาน โด่งดังไปทั่วโลก
มวยปาจี๋ มีชื่อเต็มว่า “ไคเหมินปาจี๋ฉวน” โดยมีทฤษฎีพื้นฐานที่มาจากปรัชญาของศาสนาเต๋า จีนมีคำกล่าวว่า “บุ๋นมีไท่จี๋ (แหล่งกำเนิดของสรรพสิ่ง) สังคมสงบเรียบร้อย บู๊มีมวยปาจี๋ยุติการทำสงคราม” ซึ่งหมายความว่า จากการเปลี่ยนแปลง 64 รูปแบบของไท่จี๋ สามารถรู้เรื่องใต้หล้า และบรรลุซึ่งธรรมาภิบาลของสังคม จาก 64 กระบวนท่าของมวยปาจี๋ สามารถช่วยฝ่ายอ่อนแอต้านฝ่ายแข็งแกร่ง ยุติการทำสงคราม และบรรลุซึ่งความมั่นคงของสังคม

เล่ากันว่า ปรมาจารย์แซ่ “ไล่” ในรัชกาลคังซีราชวงศ์ชิง เป็นผู้ประดิษฐ์คิดค้นมวยปาจี๋ อู๋ จง ปรมาจารย์รุ่นที่ 2 ของมวยปาจี๋ ได้สร้างชื่อเสียงให้มวยปาจี๋เป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ อู๋ จง ได้เคยเดินทางขึ้นเหนือลงใต้ เพื่อไปเยี่ยมและประลองฝีมือกับผู้มีกังฟูในแวดวงศิลปะการต่อสู้ของจีน นอกจากนี้ อู๋ จง ยังได้เคยไปท้าประลองฝีมือที่วัดเส้าหลินถึง 3 ครั้ง และได้รับชัยชนะในครั้งที่ 3 หลังกลับมาจากวัดเส้าหลิน ผู้มีวิชากังฟูท่านหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า “รุ่นพี่” ของอู๋ จง มาถึงบ้านอู๋ จง โดยสอนอู๋ จง ถึงศิลปะการต่อสู้ด้วยตะบองยาว และได้ให้ตำราศิลปะการต่อสู้ด้วยตะบองยาวเล่มหนึ่งแก่ อู๋ จง ด้วย จากนั้น มวยปาจี๋และศิลปะการต่อสู้ด้วยตะบองยาวของอู๋ จง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ต่อมา อู๋ จง ย้ายไปอยู่ที่ปักกิ่ง และกลายเป็นครูสอนศิลปะการต่อสู้ของเจ้าชายองค์หนึ่งในราชวงค์ชิง

ค.ศ. 1840 สงครามฝิ่นปะทุขึ้น มหาอำนาจฝ่ายตะวันตกอาศัยเรือเหล็กปืนใหญ่รุกรานจีน และสร้างความทุกข์ยากมหาศาลให้กับประชาชนจีน การกู้ชาติและการสร้างชาติให้เข้มแข็งขึ้นเป็นประเด็นหลักของคนจีนในสมัยนั้น อาจารย์ศิลปะการต่อสู้แขนงต่างๆ พากันออกหน้าแสดงฝีมือ สังคมจีนก็ส่งเสริมให้ประชาชนฝึกศิลปะการต่อสู้เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย และหลุดพ้นจากความอ่อนแอ ด้วยเหตุนี้ ศิลปะการต่อสู้ของจีนได้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งการแลกเปลี่ยนและการพัฒนา โดยกำจัดของปลอมจากของแท้ และมีอาจารย์ศิลปะการต่อสู้ที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่งเกิดขึ้น สงครามแรมปีและความไม่สงบทางสังคมได้อำนวยโอกาสต่างๆ ในภาคปฏิบัติและการสร้างนวัตกรรม เพื่อปรับปรุงศิลปะการต่อสู้ให้ดีขึ้น ในสิ่งแวดล้อมเช่นนี้ มวยปาจี๋ที่มีความเหนือกว่าในด้านการต่อสู้ระยะประชิด มีเทคนิคการต่อสู้ครบทุกด้าน มีท่วงท่าการต่อสู้ที่เรียบง่าย รวดเร็ว รุนแรง และว่องไว อีกทั้งเน้นหนักให้เอาชนะคู่ต่อสู้ในกระบวนท่าเดียว โดยเฉพาะให้ความสำคัญในการนำมาใช้งานในชีวิตจริง จึงกลายเป็นที่รู้จักกันดี และได้รับความสนใจจากฝ่ายต่างๆ โดยมีอาจารย์มวยปาจี๋หลายท่านได้รับคำเชิญไปเป็นผู้ฝึกสอนศิลปะการต่อสู้ในกองทัพหรือเป็นผู้อารักขาของบุคคลสำคัญทางการเมือง

มวยปาจี๋ในฐานะเป็นมวยแขนงหนึ่งที่มีอิทธิพลมากในศิลปะการต่อสู้ของจีน มีการเผยแพร่ทั้งในจีนและต่างประเทศ อาจารย์และโรงเรียนที่สอนมวยปาจี๋ในจีนมีจำนวนมาก ที่ต่างประเทศ ไม่ว่ายุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออเมริกาเหนือ ต่างมีโรงเรียนมวยปาจี๋ที่มีชาวต่างชาติเป็นผู้ฝึกสอน หากไปค้นคำว่า “#bajiquan” หรือ “#八极拳” ใน FACEBOOK หรือ INSTAGRAM จะพบว่า มีรูปภาพและวีดิทัศน์มวยปาจี๋มากมาย ด้วยการสืบทอดมาเป็นเวลากว่า 300 ปี มวยปาจี๋ได้พัฒนาจากมวยท้องถิ่นทางเหนือของจีน มาเป็นศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งที่คนทั่วโลกรู้จักกันดีและชื่นชอบ

เข้าใจวัฒนธรรมจีนด้วยกาย

ในวัฒนธรรมจีน คำว่า “อู่ซู่” หรือ ศิลปะการต่อสู้ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งแต่ยุคอักษรบนกระดองเต่าและกระดูกวัวที่ห่างจากปัจจุบันกว่า 3,300 ปี ก็มีคำว่า “อู่” ที่มีความหมายว่า หาบอาวุธไปสู้รบ หนังสือเรื่อง “จั่วจ้วน” หนังสือโบราณที่บันทึกประวัติศาสตร์ของจีนเมื่อ 2,500-2,700 ปีก่อน ระบุว่า ยุคนั้น คนโบราณมีความเข้าใจเพิ่มเกี่ยวกับคำว่า “อู่” นั่นก็คือ เลิกใช้อาวุธ หรือสิ่งที่สามารถยุติการรบและยุติการศึกได้ ส่วนคำว่า “ซู่” ในพจนานุกรม “ซัวเหวินเจี่ยจื้อ” พจนานุกรมที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีความหมายว่า “ทาง” ต่อมามีการขยายความว่า วิธีการ หรือวิถีทาง สรุปแล้ว คนจีนเห็นว่า “อู่ซู่” ไม่เพียงแต่เป็นศิลปะการต่อสู้เท่านั้น หากยังเป็นวิธีการยุติการทำสงครามและยุติการปะทะกันได้อีกด้วย

ในสายตาของอาจารย์หู ยวี่เทา ผู้ที่ฝึกมวยปาจี๋มาเป็นเวลา 27 ปีแล้ว “อู่ซู่” เป็นส่วนประกอบสำคัญของวัฒนธรรมจีน “ยกตัวอย่างมวยปาจี๋ ทฤษฎี การสร้างความกล้าหาญ และวิธีการสอนนั้น ต่างมีแก่นแท้ของวัฒนธรรมจีนอยู่ในนั้น แต่การสืบสานศิลปะการต่อสู้ต่างจากการสืบสานหนังสือโบราณ ตามความหมายทางลายลักษณ์อักษรของคำว่า “อู่ซู่” ไม่สามารถสื่อความหมายทั้งหมดของศิลปะการต่อสู้ได้ เพราะว่า “อู่ซู่” เป็นภาษากายชนิดหนึ่ง ที่ต้องเรียนด้วยกาย เข้าใจด้วยกาย และแสดงออกด้วยกาย”

อาจารย์หู ยวี่เทา เริ่มฝึกมวยปาจี๋ กับอาจารย์หลี่ เสวียกาง ตั้งแต่อายุ 16 ปี ส่วนอาจารย์หลี่ เรียนกับอาจารย์หลิว ซิงหวา แล้วอาจารย์หลิว เรียนกับปรมาจารย์อู๋ ซิ่วเฟิง ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นตัวแทนศิลปะการต่อสู้แห่งยุคสมัย ตอนที่สาธารณรัฐประชาชนจีนสถาปนาขึ้นใหม่ๆ ปรมาจารย์อู๋ ซิ่วเฟิง ได้เคยเข้าร่วมการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับชาติ ท่านโจว เอินไหล และผู้นำประเทศคนอื่นๆ ต่างได้ไปชมการแข่งขันของปรมาจารย์อู๋ ซิ่วเฟิง หลังการแข่งขัน ปรมาจารย์อู๋ ซิ่วเฟิง ยังได้เข้าพบจอมพลผู้สร้างประเทศหลายท่านอีกด้วย ตอนวัยหนุ่ม อู๋ ซิ่วเฟิง ได้เคยเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อไปเยี่ยมผู้มีกังฟูให้ทั่วถึง ด้วยการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด อู๋ ซิ่วเฟิง จึงมีความเข้าใจเกี่ยวกับมวยปาจี๋อย่างลึกซึ้ง ต่อมา ท่านเปิดรับลูกศิษย์อย่างกว้างขวางที่นครเทียนจินและมณฑลเหอเป่ย และได้สร้างคุณูปการสำคัญต่อการเผยแพร่และการส่งเสริมเชิดชูมวยปาจี๋ อาจารย์หลิว ซิงหวา อาจารย์หลี่ เสวียกาง และอาจารย์หู ยวี่เทา ทั้ง 3 ท่านดังกล่าวต่างได้รับผลกระทบจากปรมาจารย์อู๋ ซิ่วเฟิงอย่างมาก

ย้อนไปเมื่อค.ศ. 2000 อาจารย์หู ยวี่เทา เป็นผู้จัดการของเว็บไซต์มวยปาจี๋แห่งหนึ่ง จึงได้มีโอกาสดำเนินการแลกเปลี่ยนบ่อยครั้งกับบรรดาผู้ที่ฝึกเล่นมวยปาจี๋ และผู้ที่ฝึกศิลปะการต่อสู้แขนงอื่นๆ เนื่องจากอาจารย์หูถนัดในการต่อสู้จริง จึงมีชื่อเสียงมากขึ้นในกลุ่มวัยกลางคนและกลุ่มวัยหนุ่ม ค.ศ. 2012 อาจารย์หู ยวี่เทา เปิดสอนศิลปะการต่อสู้ที่นครเทียนจินและกรุงปักกิ่ง ถึง ค.ศ. 2018 อาจารย์หู ได้เปิดหอศิลปะการต่อสู้ “หมิงเจี้ยนสิง” ที่กรุงปักกิ่ง เขาเขียนในบล็อกว่า การดำรงอยู่ของมวยปาจี๋ก็เพื่อการ “ต่อสู้” ท่วงท่าการต่อสู้ต่างๆ ของมวยปาจี๋ล้วนเพื่อการต่อสู้จริง วัฒนธรรมจีนมิเพียงแต่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษเท่านั้น หากยังแสดงให้เห็นจากการออกกำลังกายและการต่อสู้ด้วย มวยปาจี๋เป็นของดี มีแต่ฝึกฝนด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจกันได้

กายบริหารที่แพร่หลาย

ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ผู้ที่เรียนมวยปาจี๋กับอาจารย์หู ยวี่เทา มีถึงหลายพันคน ในจำนวนนี้ ไม่เพียงแต่มีคนจีนเท่านั้น หากยังมีคนต่างชาติที่เรียนหรือทำงานในจีนอีกด้วย อาจารย์หูได้เคยไปสอนมวยปาจี๋ในหมู่เจ้าหน้าที่สันนิบาตชาติแอฟริกาประจำประเทศจีนตามคำเชิญ และได้เคยไปสอนนักศึกษาต่างชาติที่เรียนในมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่กรุงปักกิ่งและนครเทียนจิน ผู้ที่เรียนมวยปาจี๋กับอาจารย์หู มีอยู่จำนวนไม่น้อยได้ฝึกเป็นระยะยาว “หู ยวี่เทากับมวยปาจี๋” มีชื่อเสียงโด่งดังมากทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งรวมถึง “เวยป๋อ” เว็บไซต์ไมโครบล็อกของจีน “โต่วยิน” หรือ Tik Tok แอปพลิเคชันวีดิทัศน์สั้นยอดนิยมของจีน ตลอดจน INSTAGRAM ต่างมีวีดิทัศน์ที่อาจารย์หู ชกมวยปาจี๋ ซึ่งได้รับคำชื่นชมมากมายจากผู้ชม การแสดงและการบรรยายศิลปะการต่อสู้มวยปาจี๋ของอาจารย์หู ใน TikTok มีผู้ติดตามชมนับ 10 ล้านคน/ครั้ง

สังคมจีนปัจจุบัน ผู้คนนิยมการออกกำลังกาย การฝึกเล่นมวยปาจี๋กลายเป็นกายบริหารที่แพร่หลายทั้งในจีนและต่างประเทศ นายหวัง เฟิ่งเสียง วัย 36 ปี ฝึกมวยปาจี๋กับอาจารย์หู ยวี่เทา มาเป็นเวลาเกือบ 4 ปีแล้ว เป็นผู้ประกอบอาชีพด้านการเงิน โดยได้รับปริญญาโท 2 ฉบับจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง และกำลังเรียนปริญญาเอกสาขาการบริหารธุรกิจอยู่ ปกติ เขาทำการบริหารจัดการสินทรัพย์ในบริษัทแห่งหนึ่ง ถือเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ถึงแม้ว่างานยุ่งมาก แต่เขายืนหยัดตื่นนอนตอนตี 5 ทุกเช้าเพื่อฝึกมวยปาจี๋เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง สำหรับนายหวัง เฟิ่งเสียง มวยปาจี๋ไม่เพียงแต่เป็นกายบริหารเท่านั้น หากยังช่วยให้เขา “ใจเย็น” ด้วย เขากล่าวว่า “เมื่อก่อน เวลาเจอกรณีฉุกเฉินหรืองานด่วน มักจะก่อให้เกิดความวุ่นวายใจอยู่เสมอ หลังจากฝึกฝนมวยปาจี๋แล้ว ทำให้ผมคุ้นเคยกับความรู้สึกตึงเครียดและขัดแย้งกัน ซึ่งคนทั่วไปยากที่จะเกิดความรู้สึกอย่างนี้ได้ ศิลปะการต่อสู้ช่วยให้ผมมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น”

ในชีวิตยุคปัจจุบัน ศิลปะการต่อสู้ซึ่งรวมถึงมวยปาจี๋ยังคงได้รับความนิยมชมชอบจากมหาชน จากการฝึกศิลปะการต่อสู้ ผู้คนทั้งหลายไม่เพียงแต่ได้เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้เท่านั้น หากยังได้สร้างความแข็งแรงให้กับสุขภาพอีกด้วย

ศิลปะการต่อสู้ของจีนกับมวยไท่จี๋

นหลายปีที่ผ่านมานั้น ผมอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่เข้าออกประเทศจีนอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่แท้จริงแล้วประเทศจีนคือประเทศที่ผมไม่ชอบ แม้ว่าผมจะมีเชื้อสายจีนและเกิดในเกาะที่เป็นส่วนหนึ่งของจีนอย่างฮ่องกงก็ตาม แต่ด้วยความที่ผมเติบโตภายใต้วัฒนธรรมการเลี้ยงดูแบบจีนรวมทั้งศึกษาวิชาและศาสตร์ต่างๆ กับครูบาอาจารย์ที่ต่างก็ล้วนมอบความรู้ต่างๆให้ผมด้วยพื้นฐานวัฒนธรรมดั้งเดิม ทำให้ผมมักไม่ชอบและมองประเทศจีนอันขาดจิตวิญญาณตั้งแต่หลังปฏิวัติวัฒนธรรมด้วยท่าทีที่ไม่ดีนัก  แต่อย่างไรก็ตามหลายปีที่ผ่านมาการได้เรียนรู้ศาสตร์และความรู้ต่างๆจากการได้อยู่และพักอาศัยในประเทศจีน ก็ทำให้ผมเองอดที่จะพยายามเผยแพร่และแนะนำศาสตร์วิชาต่างๆด้วยจิตสำนึกของชาวจีนไม่ได้ จึงได้เขียนบทความนี้ในบล็อกของผมก่อนในตอนแรกและตั้งใจจะเขียนยาวต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เนื่องจากมีเว็บขึ้นมาก็ได้ตัดตอนและรวมบทความเข้าเป็นเนื้อหาเดียวพร้อมกับเพิ่มเนื้อหาเล็กน้อย เพื่อแนะนำทั่วๆไปถึงศิลปะการต่อสู้จีนกับมวยไท่จี๋เพื่อความเข้าใจเป็นพื้นฐานไปในคราวเดียว

จงกว๋ออู่ซู่ หรือศิลปะการต่อสู้ของจีน
จริงๆแล้วคำว่าจงกว๋ออู่ซู่ซึ่งหมายถึงศิลปะการจีนในปัจจุบันนั้นเป็นคำที่สร้างขึ้นมาใหม่ ในยุคสมัยหมินกว๋อหรือยุคการปกครองก่อนเหมาเจ๋อตุงนั้นศิลปะการต่อสู้ได้ถูกเรียกว่ากว๋อซู่อีกด้วย แม้บ่อยครั้งคำว่าอู่ซู่จะถูกอ้างถึงศิลปะการร่ายรำท่ามวยแบบสวยงามหรือวูซูแบบสมัยใหม่ แต่อย่างไรก็ตามคำนี้ได้ถูกยกขึ้นมาใช้อย่างกว้างขวาง และมันยังรวมความหมายถึงศิลปะการต่อสู้ของจีนทั้งหมดอีกด้วย ดังนั้นจงกว๋ออู่ซู่จึงหมายถึงศิลปะการต่อสู้ของจีนนั่นเอง
จงกว๋ออู่ซู่หรือศิลปะการต่อสู้ของจีนนั้นคือศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่ง ซึ่งได้กำเนิด เติบโต และพัฒนาขึ้นมาจากวัฒนธรรมพื้นฐานของชาวจีน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมการใช้ชีวิต และวัฒนธรรมเชิงปรัชญา ศาสนา และความเชื่อ ซึ่งภายใต้แผ่นดินที่กว้างใหญ่ของจีนเองบางครั้งก็มีความขัดแย้งแตกต่าง ระหว่างวิชามวยกันเองจนแบ่งเป็นฝักฝ่ายกันอยู่มาก เช่น ฝ่ายเหนือ-ฝ่ายใต้(หนานพ่าย-เป่ยพ่าย) ฝ่ายภายนอก-ภายใน(เน่ยเจีย-ไว่เจีย) ทำให้บ่อยครั้งการคุยกันในวิชามวยก็เหมือนแตกต่างกันคนละภาษา แต่เมื่อมองภาพรวมทั้งหมดอาจจะกล่าวได้ว่ามวยจีนก็เหมือนภาษาจีนเอง ที่แม้ต่างสำเนียงต่างท้องถิ่นต่างมลฑล แต่ก็ยังเป็นภาษาเดียวกันและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นชาวจีนในภาษาเดียวกันนี้เอง แม้ต่างมาจากคนละที่แต่หากมีความรักใคร่ชอบพอ มีมิตรภาพไมตรีต่อกัน ย่อมส่งสำเนียงพูดคุยกันได้อย่างไม่มีข้อจำกัด

ศิลปะการต่อสู้ของจีน ไม่ใช่นิยายจีน
บ่อยครั้งที่ผมอยู่ในประเทศจีนและได้พบพูดคุยกับผู้ฝึกวิชามวยจีน ในประเทศจีนเองนี่ถือว่าไม่นับผู้ฝึกในเชิงกีฬาหรือการแสดง ผมได้พบว่านักมวยจีนรุ่นเก่าหรือแม้แต่รุ่นใหม่ๆ เอง ไม่ได้ตกอยู่ใต้อิทธิพลของนิยายจีนกำลังภายจากฝั่งฮ่องกง-ไต้หวันเหมือนผู้ฝึกในไทย ผู้ฝึกในจีน(รวมไต้หวัน-ฮ่องกง) มองศิลปะการต่อสู้ค่อนข้างเรียบง่ายว่ามันก็คือศิลปะการต่อสู้อย่างหนึ่ง ซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพด้วย แม้บ่อยครั้งด้วยวัฒนธรรมของชาวจีนที่นิยมใช้การเปรียบเปรย หรืออ้างความเชื่อที่อาจจะดูเหมือนอวดอ้างเกินจริงในสายตาของผู้ที่อยู่ใน ต่างประเทศต่างวัฒนธรรม แต่อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเพียงส่วนที่เกิดจากวัฒนธรรมที่เป็นอยู่ แต่ตัวผู้ฝึกและผู้เรียนรู้ศึกษาแล้วโดยส่วนใหญ่ก็ยังมีความเข้าใจอย่างถูก ต้องและตรงไปตรงมาต่อวิชาที่ตัวเองได้ศึกษามาเป็นส่วนใหญ่ ในเรื่องนี้หลายครั้งที่ผมได้พบและพูดคุยกับอาจารย์มวยรุ่นใหญ่หรือที่เรียกว่า ”ต้าซือ” หรืออาจารย์ใหญ่ทั้งหลาย ผมก็พบว่าครูมวยเหล่านี้ต่างพูดคุยถึงวิชาอยู่ในขอบเขตแห่งความจริงเป็นส่วนมาก ท่านเหล่านั้นมักจะไม่ได้อวดอ้างพลังชี่หรือปราณ กำลังภายใน หรือพลังพิเศษอะไร หากเทียบกับหนังสือหรือตำรามวยจีนที่เขียนกันในโลกตะวันตกหรือพูดง่ายๆว่า ที่เขียนกันเป็นภาษาฝรั่งออกมานั้น พบว่าตำราเหล่านั้นมักจะอวดอ้างเกินจริงเสียมากกว่าที่ครูมวยท่านสอนกันไว้จริงๆเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกมวยจีน จึงพึงตระหนักถึงเรื่องของ “ทัศนะคติและความเข้าใจที่ถูกต้อง” ต่อวิชามวยให้มาก บ่อยครั้งที่ผมเห็นคนที่เพียงแค่เคยอ่านหลักวิชาจากนิยายก็เอามาพูดคุยหรือ อธิบายหลักวิชาให้ผู้อื่นฟัง ครั้นพอผมบอกกล่าวในเรื่องของความถูกต้องและขอบเขตความจริงของวิชา กลับพบว่าส่วนใหญ่แล้วบรรดา “มือใหม่” เหล่านี้มักจะรับไม่ได้และหาว่าผมดูถูกวิชามวยไปเสียอีก เข้าใจผิดไปเองยังไม่ว่าแต่ส่วนใหญ่ยังเห็นเอาหลักผิดๆไปกล่าวอ้างต่อ นี่เท่ากับการสร้างทัศนะคติที่ผู้คนมีต่อมวยจีนให้ไปในทางที่ผิดโดยแท้

ศิลปะการต่อสู้ของจีนคือวัฒนธรรมจีน คือหนึ่งในจิตวิญญาณของจีน
ศิลปะการต่อสู้ ก็คือผลึกทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นศิลปะการต่อสู้ของจีนจึงเป็นผลึกทางวัฒนธรรมของชาวจีนที่สร้างขึ้นมา จากพื้นฐานการใช้ชีวิต, หลักปรัชญา, ความเชื่อ, และยังได้ผสานและหลอมรวมกับศาสตร์ที่เกิดจากวัฒนธรรมเดียวกันอย่างใกลล้ชิด มวยจีนบางชนิดอาจจะเกิดจากการใช้ชีวิตทั่วไป ทำให้สามารถแสดงมวยได้อย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา มวยบางอย่างกลับเกิดจากปรัชญาหรือความเชื่อเช่นมวยไท่จี๋ ทำให้การอธิบายบางครั้งอาจจะดูเหมือนว่าเต็มไปด้วยหลักการเพ้อฝันไกลตัว แต่พึงเข้าใจว่าเมื่อมองจากวัฒนธรรมจีนแล้วปรัชญาเหล่านี้หาใช่สิ่งไกลตัว เลย หากแต่มันเป็นปรัชญาที่อยู่แนบแน่นกับความเชื่อและชีวิตของชาวจีนมาช้านานจน เป็นหลักการและความเชื่อเบื้องหลังวัฒนธรรมจีนอันหลากหลายและยาวนานไปแล้ว
ศิลปะการต่อสู้ของจีน คือจิตวิญญาณหนึ่งของชาวจีน มันได้แสดงถึงจิตวิญญาณด้านความแข็งแกร่ง แต่ในขณะเดียวกันมันได้เน้นถึงหลักการแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนตามวิถีของเต๋า และจริยธรรมจรรยาตามหลักแห่งขงจื้อด้วย สิ่งต่างๆทางวัฒนธรรมนี้หลอมรวมเข้ากันจึงเป็นวิชามวยจีนขึ้นมา ดังนั้นการเรียนมวยจีนสำคัญคือต้องเรียน “อู่เต๋อ” 武德หรือคุณธรรมวิชามวยควบคู่ไปด้วย และน่าเสียดายที่ด้วยการพัฒนาการต่อสู้ในปัจจุบันทำให้มีคนไม่น้อยเอาเทคนิค ต่างๆมาสร้างวิชามวยใหม่ๆ และเรียกมวยนั้นๆว่า “มวยจีน” พร้อมกับอ้างว่ามันร้ายกาจกว่ามวยจีนดั้งเดิม บางครั้งเอาวิชาตัวเองเป็นเครื่องมือไปดูถูกวิชาเดิม โดยที่พวกเขาลืมไปว่ามวยจีนที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องของความเก่งมากน้อยหรือ วิชานั้นร้ายกาจเพียงใด แต่สำคัญคือการเรียนรู้หลักคุณธรรมและวัฒนธรรมที่ดีงามพร้อมๆกับการพัฒนา ความเข้มแข็งของตัวเองและชนในชาติทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการเผยแพร่วัฒนธรรมนี้ออกไปด้วยจิตสำนึกที่ดี เพื่อให้ศิลปะนี้เป็นสิ่งที่คนทุกผู้ในโลกสามารถเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความ ดีงามทางวัฒนธรรมนี้ร่วมกัน จริงอยู่ว่าแม้บางครั้งในวัฒนธรรมของชาวจีนเองก็มีสิ่งที่ไม่ดีแฝงอยู่ แต่นั่นไม่พึงถูกนำมาเป็นข้ออ้างในการเผยแพร่มวยจีนอย่างวัตถุประสงค์ แต่พึงนำตัวอย่างที่ไม่ดีนั้นมาเป็นแนวทางแก้ไขและมุ่งพัฒนาสิ่งที่ดีๆขึ้นมา เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมที่ดีขึ้นมาในสังคมมวยจีนและโลกใบนี้

ภาพยนต์จีนกำลังภายใน เหตุหนึ่งแห่งความเข้าใจผิด
ในยุคที่จีนยังปิดประเทศอยู่นั้นดูเหมือนเราจะสามารถรับรู้ถึงศิลปะการต่อสู้ของจีนผ่านทางภาพยนต์หรือหนังฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าหนังหรือภาพยนต์ไม่ใช่ของเลวร้าย(ผมก็ชอบดู) เพียงแต่ส่วนใหญ่ภาพที่แสดงออกจากภาพยนต์นั้นมักจะมีการเสริมแต่งเกินจริง ซึ่งในยุคที่ข้อมูลข่าวสารที่แท้จริงไม่ได้มีการเผยแพร่ออกมานั้นการเข้าใจศิลปะการต่อสู้ของจีนแบบผิดๆจากภาพยนต์ก็เป็นไปได้ง่าย ภาพของการส่งเสียงต่อสู้(แบบ ฮ่าๆๆๆ) หรือการป้องปัดรับมือแบบที่สมบูรณ์และรับการโจมตีได้หมดแบบไม่ถูกเนื้อต้องตัวเลยนั้น ได้เริ่มกลายเป็นภาพที่แท้จริงในความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ที่มีต่อศิลปะการต่อสู้แบบจีน หรือแม้กระทั่งภาพของพลังภายในแบบพิเศษต่างๆ แน่นอนว่าภาพยนต์หรือหนังนั้นหาได้มีผลต่อแค่ชาวต่างชาติที่มองมวยจีนเท่านั้น แม้แต่ชาวจีนเองไม่น้อยก็ยังเข้าใจผิดด้วยซ้ำดังจะเห็นได้จากการพยายามสร้างหรือแสดงวิธีการต่อสู้แบบในหนังหรือภาพยนต์ขึ้นมา และทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อภาพของการต่อสู้หรือป้องกันตัวแบบจีนไปในวงกว้าง ดังนั้นการจะเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้แบบจีนนั้นผู้ฝึกควรแยกแยะประเด็นนี้ให้ออกแล้วมองถึงหลักวิชาที่แท้จริงที่ใช้ในการต่อสู้ในวิชาที่ตนฝึกฝนอยู่จะดีกว่า

ซือฝู่หรืออาจารย์ หนึ่งในความหมายด้านความอ่อนน้อมถ่อมตน และกตัญญูกตเวที
เมื่อเรียนมวยจีนย่อมต้องมีผู้ถ่ายทอดวิชาให้ แม้ว่าสมัยนี้ผู้สอนมวยจีนได้ผันสภาพไปเป็นโค้ชหรือครูฝึกที่เรียกกันว่า “เหล่าซือ” กันหมดแล้ว แต่ภายสำหรับวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมรวมทั้งวัฒนธรรมจีนโพ้นทะเลแล้ว คำว่า “ซือฝู่” หรือ “ซี๊ฝู” ในภาษากวางตุ้งยังเป็นหัวใจทางวัฒนธรรมอันแสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน และรู้จักกตัญญูตามหลักขงจื้ออยู่
คำว่าซือฝู่หมายถึงอาจารย์ ไม่เพียงแค่อาจารย์มวยแต่ซือฝู่ยังใช้เรียกผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญและ เป็นต้นแบบในศาสตร์วิชาใดวิชาหนึ่งด้วย แม้ดูผิวเผินก็แค่แปลว่าอาจารย์แต่แท้จริงแล้วมันมีความละเอียดอ่อนอยู่ภาย ใน คำว่าซือฝู่นั้นต่อผู้อื่นมันคือความเคารพให้เกียรติและแสดงถึงความอ่อนน้อมของตัวเอง ดังนั้นต่อผู้อื่นคำว่า “ฝู่” จะเขียนด้วย傅 เป็น 師傅 ทุกครั้งที่เราเรียกผู้อื่นว่าซือฝู่ มันได้แสดงให้เห็นถึงการให้เกียรติซึ่งกันและกัน (ไม่ใช่เรียกกันว่า “ไอ้ห่านั้น” หรือ “ไอ้หมอนี่”) ต่อผู้ที่เป็นอาจารย์ของตน คำว่าฝู่จะเขียนด้วย 父 ซึ่งแปลว่า “พ่อ” เป็น 師父 ดังนั้นคำว่า 師父จึงแสดงถึงความกตัญญูต่อผู้เป็นอาจารย์ดังพ่อของตัวเอง และผู้เป็นอาจารย์ก็ต้องรักและถ่ายทอดวิชาและจริยธรรมจรรยาด้วยความอยากให้ ลูกศิษย์เป็นคนดีดังเช่นที่หวังให้ลูกตัวเองเป็น สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้แม้ผิวเผินแต่กลับแสดงถึงความละเอียดอ่อนและความดี งามทางวัฒนธรรม รวมถึงหลักของขงจื้อที่ควรยึดถือแฝงอยู่ในศาสตร์วิชามวยที่เราต้องศึกษาด้วย

มวยไท่จี๋คือศิลปะการต่อสู้และวัฒนธรรมจีน
มวยไท่จี๋ หรือไท่จี๋เฉวียน หรือ ไท่เก๊ก ตามสำเนียงกวางตุ้งและแต้จิ๋ว คือศิลปะการต่อสู้อันตกผลึกจากวัฒนธรรมเชิงปรัชญาอย่างหนึ่ง เป็นศาสตร์วิชาที่ได้แสดงให้เห็นถึงความอ่อนน้อมถ่อมตน, โอนอ่อนผ่อนตาม และความสงบไม่ก้าวร้าว ตามหลักปรัชญาเต๋า ถือเป็นหัวใจหลักและภาพลักษณ์ที่ดีงามของชาวจีน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มวยไท่จี๋ได้รับการยอมรับในวงกว้างจนเป็นหนึ่งใน ตัวแทนวิชาอู่ซู่ของจีน หากพูดถึงว่ามวยที่ได้รับการยอมรับและแพร่หลายมากที่สุดของจีนก็คงไม่พ้นมวย ไท่จี๋นี่เอง
มวยไท่จี๋คือศิลปะการต่อสู้ที่ได้นำเอาหลักวิชาปรัชญาของอี้จิงและเต๋ามาสู่ การใช้งานในการต่อสู้ ทั้งหลอมรวมแนวคิดเรื่องการพัฒนาร่างกายและใจจิตใจมีความแข็งแรงและเข้มแข็ง เพื่อพัฒนากำลังของคนในชาติตามอย่างแนวคิดของวิชาการต่อสู้ของจีนหรือจงกว๋อ อู่ซู่ มวยไท่จี๋จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสตร์วิชาที่เป็นตัวแทนหนึ่งอันเป็นจิต วิญญาณทางด้านวัฒนธรรมจีนและศิลปะการต่อสู้ของจีนได้อย่างน่าภูมิใจ และแม้ว่ามันจะเป็นศาสตร์วิชาของจีนแต่วิชาที่ดีต้องมีความเป็นสากลและเข้า ถึงคนทุกผู้ทุกชนชั้นโดยไม่แบ่งชาย หญิง เด็ก แก่ ซึ่งมวยไท่จี๋นั้นไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับจากชาวจีนเท่านั้น แต่ได้รับการยอมรับเป็นวงกว้างในระดับโลกโดยไม่แบ่งผู้คนหรือชนชาติ ทุกคนต่างสามารถซึมซับและรับเอาผลในการใช้งาน, สุขภาพที่แข็งแรงจากการฝึก รวมถึงสามารถซึมซับรับเอาความดีงาม, ความเข้มแข็ง, หลักแห่งการครองตน, และจิตวิญญาณของวิชาจากการฝึกมวยไท่จี๋ได้ทั้งสิ้น ดังนั้นมวยไท่จี๋จึงสมควรต่อการศึกษาไม่เพียงแต่ชาวจีนเท่านั้น แต่ยังสมควรต่อการศึกษาของทุกผู้คนในโลกด้วย

ศิลปะการต่อสู้มวยจีนหลอกลวง ทั้งเพ สวี เสี่ยวตง ผู้ทำลายป้ายทุกสำนักประเทศ บ้านเกิดหมายหัว

สวี เสี่ยวตง (Xu Xiaodong) ชายผู้ถูกรัฐบาลจีนตราหน้าว่าเป็นผู้ทำลายชาติ หลังจากตระเวนเปิดโปงการต่อสู้ทุกแขนงของจีนอย่าง กังฟู ไท้เก๊ก หย่งชุน และทุกสำนักว่าหลอกลวงชาวโลก จนล่าสุดเจ้าตัวต้องการที่จะย้ายไปเป็นพลเมืองของออสเตรเลีย เนื่องจากถูกบีบทุกวิถีทางจนไร้จุดยืน

หนุ่มจีนรายนี้มีฉายาว่า “Mad Dog” (ไอ้หมาบ้า) ช่ำชองการต่อสู้แบบ MMA หรือศิลปะการต่อสู้แบบผสม (Mixed Martial Arts) กระนั้นก็ตาม 2 ปีที่ผ่านมาเจ้าตัวสร้างความไม่พอใจให้ทางการจีนรวมถึงคนในประเทศ เพราะแฉให้ชาวโลกทราบว่ากังฟูของจีนนั้นเป็นของปลอมด้วยการไล่กำราบคนที่ตั้งตนเป็นปรมาจารย์วิชาแขนงต่างๆ จนล้มลุกคลุกคลาน

ทำให้ทางการจีนขึ้นบัญชีดำเล่นงาน สวี เสี่ยวตง ทุกวิถีทางไม่ว่าจะเป็นลบข้อมูลทุกอย่างออกจากการสืบค้นทางอินเตอร์เน็ต ถูกตีค่าทางสังคมต่ำมากจนมีครั้งหนึ่งถูกบีบให้นั่งรถไฟ 36 ชั่วโมงจากปักกิ่งเพื่อไปต่อสู้ โดยถูกจำกัดในการเดินทางไม่สามารถนั่งเครื่องบิน, รถไฟแบบนอน หรือรถไฟความเร็วสูง

ดังนั้นการที่ สวี เสี่ยวตง จะขึ้นเวทีต่อสู้แต่ละครั้งเป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะว่าถูกกลั้นแกล้งจากทางการจีน โดยมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ขึ้นไปต่อสู้ทว่าการถ่ายทอดสดนั้นถูกเซนเซอร์และบางครั้งเจ้าตัวต้องปลอมตัวทาหน้าให้เป็นสีดำเพื่อเอาใจโปรโมเตอร์ในการโปรโมตการต่อสู้ ทำให้ในที่สุดอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาเปิดศึกกับประเทศของตนเองและอยากย้ายไปออสเตรเลียหรือไม่ก็แคนาดา

สวี เสี่ยวตง อ้างว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้นคือการแสดงออกซึ่งความรักที่มีต่อประเทศชาติจีนอย่างแท้จริง โดยจะทำให้เห็นว่าการต่อสู้แบบกังฟูนั้นเป็นตำนานที่โกหก ส่วนการจะย้ายไปต่างประเทศนั้นก็มองว่าน่าจะตามรอยนักแสดงหลายคนอย่าง เฉิน หลง ที่ไม่จำเป็นต้องถือพาสปอร์ตจีนก็ได้

“กังฟูหรือวูซูรวมถึงแบบต้นตำรับของจีนอย่างไทเก๊กทั้งหมดนี้คือปรัญาและสื่อสังคมที่สืบทอดต่อๆ กันมา ซึ่งเหล่านี้ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ ดังนั้นจีนต้องปฎิรูปหากอยากพัฒนา เพราะว่าประเทศล่าช้าในเรื่องนี้มาเป็นเวลา 40 ปี ทำให้ไปขึ้นเวทีเจอกับต่างชาติก็สู้ใครไม่ได้หรอก” สวี เสี่ยวตง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

มีอยู่ครั้งหนึ่ง สวี เสี่ยงตง ถูกศาลจีนสั่งให้จ่ายเงิน 400,000 หยวนหรือ 58,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.8 ล้านบาท) คือค่าปรับและต้องขอโทษต่อสาธารณชนบนสื่อสังคมออนไลน์ 7 วันติดต่อกัน หลังจากไปดูหมิ่น เฉิน เสี่ยววั่ง (Chen Xiaowang) อาจารย์ไท้เก๊กผู้โด่งดังที่เกิดเมื่อปี 1945 ปัจจุบันวัย 73 ปีแล้ว ถือเป็นความผิดฐานทำให้เครดิตทางสังคมของอีกฝ่ายนั้นลดต่ำลง

สวี เสี่ยวตง ต่อสู้เพื่อจุดยืนของตนเองมาตลอด แม้ว่าจะโดนกลั่นแกล้งสารพัดแต่ว่าก็เอาชนะ หลู่ กัง (Lu Gang) อาจารย์ หวิงชุน หรือ หย่งชุน (Wing chun) สไตล์ต่อสู้ที่โด่งดังจาก บรูซ ลี ซึ่งสุดท้ายผลปรากฎว่า หลู่ กัง จมูกหักใช้เวลาไปไม่ถึงนาทีก็จอดไม่ต้องแจว รวมถึง เว่ย เหล่ย (Wei Lei) อาจารย์ด้านไท้เก๊ก ก็พ่ายไม่เป็นท่าเมื่อ 2 ปีก่อนภายในระยะเวลาไม่ถึง 10 วินาที

ทำให้ตอนนี้กลายเป็นเรื่องสนุกของบรรดาเศรษฐีของจีนมากหน้าหลายตาตามไปด้วย โดยยอมทุ่มเงิน 10 ล้านหยวน (ราว 50 ล้านบาท) จัดการแข่งขัน MMA เพื่อเฟ้นพาจอมยุทธ์ทั่วยุทธภพที่จะมาล้ม สวี เสี่ยวตง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไปเข้าหูของ อี้ หลง ไต้ซือจากเส้าหลิน ที่เคยสู้กับ บัวขาว บัญชาเมฆ ยอดนักมวยไทย โดยถ้า สวี เสี่ยวตง หรือ อี้ หลง ชนะรับไปเลย 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 62 ล้านบาท)

การต่อสู้เพื่อจุดยืนในครั้งนี้ไม่ใช่แค่ สวี เสี่ยวตง ตัวคนเดียวที่ต้องลำบาก เนื่องจากว่ามีครอบครัวที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เลี่ยงการเผชิญหน้าตามที่สาธารณะต่างๆ กับบรรดาฝูงชนที่รักชาติปกป้องเกียรติของประเทศ ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวก็ยังต้องจ่ายเงินเพื่อประคับประคองยิมของตนเองที่ปักกิ่งให้อยู่รอดตลอดรอดฝั่งอีกด้วย

ศิษย์เส้าหลินแสดงศิลปะยุทธ พร้อมเพรียงตื่นตาฉลองตรุษจีน

เว็บไซต์ เซี่ยงไฮ้อิสต์ เผยแพร่คลิปการแสดงฉลองตรุษจีนที่น่าทึ่งของบรรดาศิษย์เส้าหลินหลายพันคน ที่สำนักในมณฑลเหอหนาน ทั้งศิลปะการร่ายรำมวยจีน ศิลปะการต่อสู้ การแปรอักษร และการคลี่ธงชาติจีนผืนใหญ่มหึมา ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศ

ข้อมูลจากวิกิพีเดีย ระบุว่า วัดเส้าหลินมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประเทศจีนและในต่างประเทศ ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของกระบวนท่าวิทยายุทธ เพลงหมัดมวย พลังลมปราณและกังฟูเส้าหลินเป็นอย่างมาก

ศิษย์เส้าหลินแสดงศิลปะยุทธ

เป็นแหล่งวิชาการต่อสู้และศิลปะการป้องกันตัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน ปรากฏชื่อในนิยายกำลังภายในหลายต่อหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่กล่าวถึงวิชาเพลงหมัดมวย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเทือกเขาซงซาน หนึ่งในจำนวนห้ายอดเขาอันศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน เมืองเจิ้งโจว มณฑลเหอหนาน

มวยไทยใส่กังฟู “บัวขาว” รีแมตช์ฟัด “อี้หลง” ที่ฮ่องกง ชิงเงิน 10 ล้าน

บัวขาว บัญชาเมฆ เตรียมขึ้นชกกติกาใหม่กับ “หลวงจีนเงินล้าน” อี้หลง กังฟูจากแดนมังกร เป็นครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนตุลาคม นี้ที่ฮ่องกง เพื่อชิงเงินรางวัลสูงถึง 10 ล้านบาท

วันที่ 11 มี.ค.62 ที่โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส พญาไท กรุงเทพฯ มีการแถลงข่าวการแข่งขันมวยไทยปะทะกังฟู ซึ่งเป็นการรีแมตช์ไฟต์ที่สามของ บัวขาว บัญชาเมฆ กับ อี้ หลง ของจีน ซึ่งจะแข่งขันกันในเดือนตุลาคมนี้ ที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกง ภายใต้กติกาใหม่ที่เรียกว่า “แมสไฟต์” (MAS fight)

สำหรับกติกาดังกล่าว จะรู้ผลใน 1 ยกๆ ละ 9 นาที มีกรรมการห้ามบนเวที 1 คน ไม่มีกรรมการให้คะแนน ซึ่ง บัวขาว ใช้อาวุธมวยไทยเต็มรูปแบบได้ทั้งหมด ทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก ปล้ำตีเข่า ส่วน อีหลง ใช้วิทยายุทธ์กังฟูได้ทั้งหมด การตัดสินแพ้ชนะถ้าครบยก 9 นาทีแล้ว ไม่มีการน็อกให้ถือว่าให้เสมอ โดยทั้งคู่จะใส่นวมชก MAS น้ำหนัก 5 ออนด์ และสู้กันเฉพาะท่ายืนเท่านั้น 

โดย บัวขาว บัญชาเมฆ กล่าวว่า การชกครั้งนี้เป็นไฟต์ที่ 3 แล้ว หลังจากเคยเจอกันมา 2 ครั้ง ซึ่งผลัดแพ้-ชนะกันมาคนละที แม้ตนเองจะคาใจบ้างแต่ลูกผู้ชายจะไม่ขอรื้อฟื้น ส่วนครั้งนี้ตั้งใจเอาชนะน็อกให้ได้เพียงอย่างเดียว พร้อมท้าเดิมพันทันที เนื่องจากตอนนี้มีผู้สนับสนุนเบื้องต้นแล้วถึง 50 ล้านบาท

ด้าน อี้หลง กล่าวว่า บัวขาวเคยบวชเป็นพระเมื่อปีที่ผ่านมา ตนเองขอแสดงนับถือ เพราะเป็นครั้งหนึ่งที่ลูกผู้ชายสมควรกระทำ ส่วนการเดิมพันตอนนี้ยังไม่ได้เตรียมตัว แต่ให้สัญญาว่าหากไฟต์นี้ชนะไปได้จะนำเงินรางวัลครั้งหนึ่ง ไปทำการกุศล และฝากบัวขาวว่า นี่จะเป็นครั้งสำคัญที่สุดที่เราเจอกัน มีแฟนคลับรอติดตามผลงานของเราอยู่ ซึ่งเป็นกติกาใหม่ ต่างคนต่างเก่งคนละอย่าง ใครจะสามารถได้รับชัยชนะ ท้าทายความรู้สึกอย่างมากๆ

ส่วน มร.โทนี่ เฉิน โปรโมเตอร์ที่จัดคู่นี้มาแล้ว 2 นัด กล่าวว่า “ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายตามสัญญาที่ บัวขาว จะเจอกับ อี้หลง ตนเองจะโปรโมตให้คนทั่วโลกรู้ข่าวสารการต่อสู้ให้ดีที่สุด ซึ่งตอนนี้สำนักข่าวของไทยให้ความสนใจจำนวนมาก อาจมีการถ่ายทอดสดด้วย ส่วนที่แน่นอนแล้วคือแฟนๆ สามารถติดตามข่าวสารได้จากเว็บไซต์และเฟซบุ๊กแมสไฟต์ (Mas Fight)”

ลองของ! มวยกังฟู ขึ้นสังเวียนปะทะ มวยไทย

เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ สื่อดังของประเทศจีน รายงานข่าวการขึ้นสังเวียนอีกครั้งของ ติง เฮา มวยกังฟูวัย 29 ปี ที่มักออกมาประกาศศักดาด้วยการประลองฝีมือกับ ศิลปะป้องกันตัวของชาติต่างๆ โดยเจ้าตัวยึดมั่นว่าศิลปะการต่อสู้ของจีนไม่ใช่ปาหี่อย่างที่หลายคนเข้าใจกัน

ซึ่ง ติง เฮา อ้างตัวว่าเป็นปรมาจารย์มวยหย่งชุน รุ่นที่ 4 ที่เคยสร้างชื่อมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง ยิปมัน (Ip Man) แถมตามประวัติศาสตร์ บรูซ ลี นักแสดงฮอลลีวูด ก็เคยฝึกมวยชนิดนี้

อย่างไรก็ตามในไฟต์นี้ เจ้าตัวขึ้นสังเวียนพบกับ “ไทเกอร์” เฉิน จิ้นหยุน นักสู้ชาวจีนที่หลงใหลในการต่อสู้แบบมวยไทย และคิกบ็อกซิ่ง ก่อนเกมการชกจะจบลงหลังเวลาผ่านไปเพียงแค่ 72 วินาทีเท่านั้น

ถือเป็นความพ่ายแพ้ 2 ครั้งติดต่อกัน หลังเมื่อเดือนมีนาคม ปีที่ผ่านมา เจ้าตัวก็เคยขึ้นสังเวียนปะทะกับ ซู เสี่ยวตง นักสู้ MMA ชาวจีน ก่อนโดนจับแพ้ไปในเวลา 3 นาที เนื่องจากเกิดแผลแตกใหญ่ที่ใบหน้า

สำหรับ ติง เฮา ฝึกมวยกังฟูมากว่า 10 ปี เคยขึ้นสังเวียนประลองฝีมือมามากมาย แต่มีข้อครหาเกี่ยวกับตัวเขามากมายว่าเป็นของปลอม และไม่ได้รับการรับรองจากทางสำนักมวยกังฟูค่ายอื่นๆ

หนังกังฟูเรื่องสุดท้ายของ “ดอนนี เยน”

“ยิปมัน 4 เดอะไฟนอล”
หนังกังฟูเรื่องสุดท้ายของ “ดอนนี เยน”

เปิดศักราชความมันส์กับหนังกังฟูระดับมาสเตอร์พีซเรื่อง “ยิปมัน 4 เดอะไฟนอล” ที่กลายเป็นบทส่งท้ายปิดตำนานปรมารจารย์ยิปมัน และเป็นหนังกังฟูเรื่องสุดท้ายของ “ดอนนี เยน”

ภาพยนตร์เรื่อง ยิปมัน เป็นจักรวาลภาพยนตร์กำลังภายใน ที่เล่าถึงชีวประวัติของ ยิปมัน ปรมาจารย์มวยกังฟูแบบหย่งชุนที่มีตัวตนอยู่จริง และผ่านชีวิตในช่วงสงคราม ซึ่งในภาพยนตร์เรื่อง ยิปมัน เจ้ากังฟูสู้ยิบตา เป็นครั้งแรกที่ ดอนนี เยน รับบทเป็นปรมาจารย์ยิปมัน ภาพยนตร์กำลังภายในโดย “วิลสัน ยิป” ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายไปทั่วโลก ทำเงินในฮ่องกง ทั่วเอเชีย และจีนแผ่นดินใหญ่อย่างมหาศาล และสำหรับในภาคที่ 4 นี้ ยิปมัน กลายมาเป็นอาจารย์ของบรูซลี ที่กลายเป็นนักแสดงระดับแถวหน้าระดับโลกในเวลาต่อมา และเป็นหนังกังฟูเรื่องสุดท้ายที่ยอดนักบู๊อย่าง “ดอนนี เยน” จะร่วมแสดงอีกด้วย

“หลังจากทำหนังมานาน ผมใกล้จะถึงสุดทางของหนังแนวกังฟูแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ยิปมัน 4 เดอะไฟนอล จะเป็นหนังกังฟูเรื่องสุดท้ายที่ผมจะรับบทเป็นนักกังฟู ที่สำคัญภาคนี้ยังเป็นภาคปิดตำนานปรมาจารย์ยิปมันอีกด้วย ผมหวังว่าเรื่องราวในภาคนี้จะประทับใจทุกคน อย่างไรก็ตามผมยังคงเดินอยู่บนเส้นทางการเป็นนักแสดงต่อไป ก็หวังว่าทุกคนจะคอยเป็นกำลังใจให้ครับ”

ภาพยนตร์ ยิปมัน 4 เดอะไฟนอล ผลงานกำกับโดย วิลสัน ยิป นำแสดงโดย ดอนนี่ เยน, อู่เยว่, แดนนี่ ชาน, แวนเนส วู, สก็อต แอดคินส์, คริส คอลลินส์ และ เคนท์ เจิ้ง ซึ่งในครั้งนี้ อาจารย์ยิปมันได้รับเชิญจากศิษย์เอก บรูซ ลี เข้าร่วมการแข่งขันคาราเต้ชิงแชมป์ระดับนานาชาติในอเมริกา และเมื่อเขา ได้ไปเห็นกับตา ก็พบว่าที่นั่นทุกคนกำลังไขว่คว้าไล่ตามความฝันแบบเสรีชน อาจารย์ยิปมันจึงตัดสินใจจะส่งลูกชายมาเรียนที่นี่ แต่ดูเหมือนว่าที่นี่ไม่ใช่เส้นทางสำหรับคนตะวันออก เขาต้องเจอกับการเหยียดเชื้อชาติ และความอยุติธรรม มีเพียงการใช้ “เพลงหมัดหย่งชุน” ออกโรงอีกครั้ง เพื่อกู้ศักดิ์ศรี และประกาศให้โลกตะวันตกได้รับรู้ถึงความเท่าเทียม

เตรียมตัวเปิดรับความมันส์ กับภาคปิดตำนานปรมาจารย์หมัดหย่งชุน และหนังกังฟูเรื่องสุดท้ายของ “ดอนนี เยน” ใน “ยิปมัน 4 เดอะ ไฟนอล” (IP MAN4: The Finale) 23 มกราคม 2563 ฉายรับตรุษจีนนี้